วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ : Alexander Graham Bell


เกิด วันที่ 3 มีนาคม ค.ศ.1847 ที่เมืองเอดินเบิร์ก (Edinburg) ประเทศสก็อตแลนด์ (Scotland)

เสียชีวิต วันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ.1922 ที่เมืองโนวา สโคเทีย (Nova Scotia)

ผลงาน - ประดิษฐ์โทรศัพท์ ในปี ค.ศ.1876

- ก่อตั้งสมาคมแนะนำ และสอนคนหูพิการ ชื่อว่า American Association to Promote the Teaching of Speech to Deaf

การติดต่อสื่อสารถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากทั้งในอดีต ปัจจุบัน รวมถึงต่อไปอนาคต ในอดีตมนุษย์ใช้วิธีการส่งข่าวสารถึงกันด้วยวิธีต่าง ๆ มากมาย เช่น ใช้นกพิราบ ควันไฟ เป็นสัญญาณ หรือการใช้มนุษย์เดินทางส่งข่าวสาร ซึ่งแต่ละวิธีที่ได้กล่าวมาล้วนแต่ล่าช้า ไม่สะดวก อีกทั้งเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ต่อมาแซมมวล มอร์ส นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ได้ประดิษฐ์โทรเลขทำให้การสื่อสารมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นอีกลำดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถส่งคำพูดได้ จนกระทั่งเบลล์สามารถประดิษฐ์โทรศัพท์ขึ้นสำเร็จ ทำให้การสื่อสารมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ในปัจจุบันโทรศัพท์เป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีความสำคัญมากสำหรับการติดต่อสื่อสารเพราะสะดวกรวดเร็ว ประหยัดทั้งค่าใช้จ่าย และเวลา เบลล์เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ.1847 ที่เมืองเอดินเบิร์ก (Ddinburg) ประเทศสก๊อตแลนด์ (Scotland) บิดาของเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับภาษาที่ใช้สำหรับคนหูพิการ ชื่อว่า อเล็กซานเดอร์ เมลวิน เบลล์ (Alexander Melvin Bell) การที่บิดาของเบลล์ได้ศึกษาเกี่ยวกับคนหูพิการ เพราะปู่ของเบลล์ได้ศึกษาเรื่องนี้มาก่อน อีกทั้งมารดาของเขาก็เป็นคนหูพิการ และเพราะเหตุ นี้เองทำให้เบลล์สามารถใช้ภาษาใบ้ อ่านริมฝีปาก และแยกแยะเสียงได้อย่างละเอียด โดยทั้งหมดนี้เบลล์ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดาของเขานั่นเอง เบลล์มีพี่ชายคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตด้วยโรควัณโรค แม้ว่าเบลล์จะโชคดีที่ไม่เสียชีวิต แต่เขาก็ติดโรคมาจากพี่ชาย ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สุขภาพของเบลล์จึงไม่ค่อยดีนัก เบลล์ได้รับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนเอดินเบิร์ก (Edinburg School) จากนั้นเบลล์ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยลอนดอน (London University) เมื่อจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยลอนดอน เบลล์ได้เดินทางไปประเทศเยอรมนี เพื่อเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวูซเบิร์ก จนจบการศึกษาระดับปริญญาเอกในปี ค.ศ.1867 หลังจากจบการศึกษาเบลล์ได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของบิดาในการสอนและพัฒนาคนหูพิการ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1870 อาการ ป่วยของเบลล์ได้ทรุดหนักขึ้น เบลล์จึงเดินทางพร้อมกับบิดาไปอยู่ที่เมืองออนตาริโอ (Ontario) ประเทศแคนาดา (Canada) ตามคำแนะนำของแพทย์ว่าควรไปพักในสถานที่ที่มีออนตาริโอ (Ontario) ประเทศแคนนาดา (Canada) ตามคำแนะนำของแพทย์ว่าควรไปพักในสถานที่ที่มีอากาศดี เมื่อเขารักษาตัวจนอาการทุเลาลง เบลล์ได้เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา (UnitedState of America) และเข้าทำงานในตำแหน่งอาจารย์สอนการออกเสียงที่มหาวิทยาลัยบอสตัน (Boston University) จากความสามารถของเบลล์ เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์สอนวิชาสรีรวิทยาว่าด้วยเรื่องเสียง เบลล์ได้พยายามประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับคนหูพิการให้มีโอกาสได้ยินเสียงเหมือนเช่นคนปกติ ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นโทรศัพท์ ด้วยความที่เบลล์เป็นคนที่ชอบเล่นเปียโน วันหนึ่งเขาสังเกตว่าเสียงเพลงจากเปียโนเกิดจากการสั่นสะเทือนของเส้นลวดเพราะฉะนั้นเส้นลวดน่าจะเป็นตัวนำเสียงจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ ในปี ค.ศ.1873 เบลล์ได้ทำงานเป็นครูสอนหนังสือใน โรงเรียนคนหูพิการที่เมืองบอสตัน และต่อมาเบลล์ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์สรีรวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตและเสียง และในระหว่างนี้เบลล์ได้ทำการทดลองค้นคว้าเพื่อจะส่งเสียงตามสาย เขาได้ร่วมมือกับโทมัส เอ. วัตสัน (Thomas A.Watson) ผู้ช่วยของเขา ซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับไฟฟ้า ที่เบลล์ได้ซื้ออุปกรณ์เกี่ยวกับการทดลองเป็นประจำ ทั้งสองประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์โทรศัพท์ในปี ค.ศ.1876 โดยการใช้เส้นลวดโยงจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งส่วนปลายทั้งสองข้างจะเป็นหูฟัง ซึ่งภายในประกอบไปด้วยแท่งแม่เหล็กพันด้วยทองแดง ต่อจากนั้นจะเป็นแผ่นเหล็กบาง ๆ เพื่อพูดใส่กระบอกนี้จะเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในขดลวด แต่ผลการทดลองในครั้งแรกยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่สามารถเข้าใจในคำพูดที่ส่งมาทางโทรศัพท์ได้ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการส่งเสียง ต่อมาอีก 8 เดือน ทั้งสองได้ปรับปรุงโทรศัพท์ให้ดีขึ้น คำพูดแรกที่ใช้ในการส่งข้อความทางโทรศัพท์ครั้งนี้ คือ "คุณวัตสันมานี้หน่อย ผมต้องการคุณ"การที่เบลล์พูดเช่นนี้ก็เพราะเขาได้ทำกรดแบตเตอรี่หกรดเสื้อ เขาเรียกวัตสันจากห้องหนึ่ง วัตสันได้ยินคำพูดของเบลล์ได้อย่างชัดเจน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1876 เบลล์ได้นำโทรศัพท์เข้าประกวดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่เมืองฟิลลาเดลเฟีย (Philadelphia) และได้รับรางวัลสิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมในครั้งนี้ด้วย ในช่วงแรกไม่มีกรรมการคนใดให้ความสนใจในสิ่งประดิษฐ์ของเบลล์เลย แม้ว่าเบลล์จะพยายามอธิบายถึงประโยชน์ของโทรศัพท์ แต่เบลล์ก็ยังโชคดีอยู่มาก เมื่อมีกรรมการท่านหนึ่งชื่อ โดม ปริโด รู้จักและนับถือเบลล์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเสียง และครูสอนคนหูพิการ และเมื่อปริโดได้ทดลองเอาหูแนบตรงหูฟัง ซึ่งเมื่อเขาได้ยินเสียงคนพูดออกมาจากหูฟัง เขารู้สึกตื่นเต้นมากพร้อมกับอุทานออกมาด้วยเสียงอันดัง จนกรรมการที่อยู่บริเวณนั้นเดินเข้ามาดู เมื่อทุกคนทดลองเอาหูแนบกับหูฟัง และได้ยินเสียงคนพูดออกมา ต่างก็ตื่นเต้นและประหลาดใจมาก และในปีเดียวกันเบลล์ได้เปิดบริษัทร่วมกับวัตสันผู้ช่วยของเขา เพื่อดำเนินการติดตั้งสายโทรศัพท์ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1876เบลล์ได้ดำเนินการติดตั้งสายโทรศัพท์จากแบรนด์ฟอร์ดถึงออนตาริโอ ประเทศแคนาดา รวมระยะทาง 8 ไมล์ ต่อมาอีก 2 เดือน เบลล์ได้ติดตั้งโทรศัพท์แบบ 2 ทาง ได้เป็นผลสำเร็จ จากนั้นเขาจึงดำเนินการติดตั้งสายโทรศัพท์จากบอสตันไปยังแมสซาชูเซส รวมระยะทาง 2 ไมล์ กิจการของเบลล์ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี จนกระทั่งปี ค.ศ.1876 บริษัทของเบลล์ได้ถูกฟ้องร้องจากบริษัท เวสเทิร์น ยูเนียน เทเลกราฟ (Western Union Telegraph Company) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับโทรเลขแต่ในที่สุดศาลได้ตัดสินให้เบลล์ชนะคดี เบลล์ได้นำโทรศัพท์ของเขาไปจดทะเบียนสิทธิบัตร และก่อตั้งบริษัทขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยใช้ชื่อว่า บริษัท อเมริกันเบลล์ เทเลโฟน (American Bell Telephone Company) จากผลงานชิ้นนี้ทำให้เบลล์มีชื่อเสียง และเงินทองมากขึ้น เบลล์ได้บริจาคเงินส่วนหนึ่งในการก่อตั้งสมาคมเพื่อคนหูพิการ ชื่อว่าAmerican Association to Promote the Teaching of Speech of Deaf นอกจากนี้เขายังให้การสนับสนุนการวิจัย เกี่ยวกับการบิน ต่อมาในปี ค.ศ.1915 เบลล์ได้รับเชิญไปเปิดผลงานในโอกาสที่ดำเนินการติดตั้งสายโทรศัพท์ข้ามทวีปเป็นครั้งแรก โดยเบลล์ได้พูดสนทนากับวัตสันในคำพูดเดิม คือ "คุณวัตสันมานี้หน่อย ผมต้องการคุณ"

แซมมวล มอร์ส : Samuel Morse



เกิดวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1791 ที่รัฐแมสซาชูเซส (Massachusette) ประเทศสหรัฐอเมริกา (United State of America)


เสียชีวิต วันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1872 ที่กรุงนิวยอร์ค (New York) ประเทศสหรัฐอเมริกา (United State of America)


ผลงาน - คิดค้นรหัสมอร์ส ซึ่งใช้แทนตัวหนังสือในการส่งโทรเลข


- คิดค้นประดิษฐ์เครื่องส่งโทรเลข


มอร์สนักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์เครื่องโทรเลข ซึ่งมีคุณประโยชน์อย่างมหาศาลในการสื่อสารที่รวดเร็ว ซึ่งต่อมาโทรเลขถือว่าเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของมนุษย์เลยทีเดียว มอร์สมีชื่อเต็มว่า แซมมวล ฟินเลย์ บรีส มอร์ส (Samuel Finley Breeze Morse)


เกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1791รัฐแมศซาชูเซส ประเทศสหรัฐอเมริกา บิดาของเขาชื่อว่า เจดิเดียทมอร์ส มีอาชีพเป็นนักบวช และนักเขียน มอร์สเข้ารับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งมีเจ้าของเป็นหญิงชรานามว่า มาดามแรนท์ ซึ่งเป็นคนเจ้าระเบียบ และชอบลงโทษเด็ก ๆ ด้วยการใช้ปิ่นปักผมจิ้มตามตัว ซึ่งมอร์สก็เป็นผู้หนึ่งที่เคยถูกลงโทษ หลังจากจบการศึกษาขั้นต้นแล้วมอร์สได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ในวิชาศิลปะ ซึ่งเป็นวิชาที่เขาชอบมากอีกทั้งเขายังมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก นอกจากวิชาศิลปะแล้วมอร์สได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายเกี่ยวกับวิชาไฟฟ้า เคมี และฟิสิกส์ อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ทำให้มอร์สมีความชำนาญด้านนี้มากนักด้วยมอร์สมีความสนใจด้านศิลปะมากกว่า อีกทั้งทางครอบครัวก็ให้การสนับสนุนด้านนี้ด้วย ดังนั้นเมื่อมอร์สจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยลในปี ค.ศ. 1810 เขาได้เดินทางไปยังประเทศอังกฤษเพื่อศึกษาต่อทางด้านศิลปะ ในระหว่างที่มอร์สได้ศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษเขาได้รับอุปการะจากเบนจามิน เวสต์ จิตรกรชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียง อาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษแต่ถึงอย่างนั้นมอร์สก็ได้รับความลำบากเพราะค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นมอร์สจึงต้องทำงานให้กับทางสถาบันราชศิลป์อีกทางหนึ่ง เพื่อแลกกับค่าใช้จ่ายในสถาบัน งานที่มอร์สต้องทำก็คือการสเกตช์ภาพอนุสาวรีย์แห่งหนึ่งด้วยชอล์กขาวและดำ นอกจากนี้แล้วเขายังได้วาดภาพเพื่อขายสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ต่อมามอร์สได้ปั้นรูปเฮอร์คิวลิสด้วยดินเหนียวส่งเข้าประกวด ตามคำแนะนำของศาสตราจารย์ท่านหนึ่งในสถาบันราชศิลป์ ซึ่งมอร์สได้รับรางวัลชนะเลิศเหรียญทองของสมาคมศิลป์อเดลฟี มอร์สยังคมทำงานด้านศิลปะต่อไป ในปี ค.ศ. 1813 ภาพเขียนสีน้ำมันชื่อว่า การตายของเฮอร์คิวลิส (The Dead ofHercules) ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 ภาพ ของงานนิทรรศการแสดงภาพของสถาบันราชศิลป์ ปัจจุบันภาพนี้ได้แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะของมหาวิทยาลัยเยล และในปี ค.ศ. 1815 ภาพเขียนสีน้ำมันของเขาได้ร่วมในงานนี้อีกครั้งหนึ่ง ภาพนี้มีชื่อว่าการตัดสินใจของจูปีเตอร์ (The Decide of Jupiter) หลังจากประสบความสำเร็จทางด้านศิลปะในประเทศอังกฤษ มอร์สจึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศสหรัสอเมริกาในปี ค.ศ. 1815 เมื่อกลับมาถึงประเทศสหรัฐอเมริกาเขาได้เปิดร้านจำหน่ายภาพเขียน (Gallery) แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนักจากนั้นเขาจึงรับวาดภาพเหมือน ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้นเพราะเขาได้วาดภาพเหมือนของบุคคลสำคัญหลายคนแต่ก็ไม่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1818 มอร์สแต่งงานกับลูกเครียเทีย พิคเคอร์ริ่ง วอคเกอร์ หลังจากแต่งงานแล้วมอร์สจำเป็นต้องหารายได้จากงานอื่น เพราะรายได้จากงานวาดภาพเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในครอบครัว และเพราะเหตุนี้เขาและภรรยาต้องแยกกันอยู่ชั่วคราว โดยมอร์สได้เดินทางไปทำงานที่เมืองนิวยอร์ค และได้เข้าทำงานในตำแหน่งนักเขียน และผู้บรรยายวิชาศิลปะในเมืองนิวยอร์ค ในระหว่างที่ทั้งสองต้องแยกกันอยู่นี้เอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1825 ภรรยาของมอร์สเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวาย แต่การโทรคมนาคมในสมัยนั้นยังล้าช้า ทำให้กว่าจะทราบข่าวก็ล่วงเลยไปหลายวันแล้ว มอร์สรู้สึกเสียใจมาก และตั้งใจว่า จะหาวิธีส่งข่าวสารให้ได้รวดเร็วกว่านี้ให้ได้สักวันหนึ่ง หลังจากที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตก็ทำให้มอร์สเศร้าโศกเป็นอย่างมาก ดังนั้นในปี ค.ศ. 1829 จึงตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศอิตาลี และเดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1832 ระหว่างเดินทางกลับจากทวีปยุโรป มอร์สได้มีโอกาสรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้าหลายท่าน โดยเฉพาะชาร์ล เอฟ. แจ็คสัน (Charles F. Jaxkson) นักเคมีชาวอเมริกัน ได้เป็นผู้ที่คอยตอบปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้าให้กับผู้สนใจเสมอ ซึ่งมอร์สก็เป็นผู้หนึ่งที่ใช้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมากและเป็นผู้หนึ่งที่นั่งฟังคำบรรยายเกี่ยวกับไฟฟ้าเสมอ นอกจากนี้แจ็คสันยังทำการทดลองอย่างง่ายเกี่ยวกับไฟฟ้าให้กับผู้โดยสารบนเรือได้ชม โดยการใช้แท่งเหล็กพันด้วยลวดทองแดง จากนั้นก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ลวดทองแดง ปรากฏว่าแท่งเหล็กนั้นกลายเป็นแม่เหล็กชั่วคราว โดยดูดตะปูเหล็กขึ้นมาได้ แต่เมื่อหยุดปล่อยกระแสไฟฟ้าแท่งเหล็กก็จะกลายเป็นแท่งเหล็กธรรมดาและตะปูก็หลุดร่วมลงบนพื้น นอกจากนี้ามอร์สได้เข้าร่วมฟังการสนทนาระหว่างนักวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการนำกระแสไฟฟ้ามาใช้ในการส่งข่าวสารในระยะไหล ดังนั้นมอร์สจึงใช้เวลาที่อยู่บนเรือร่างต้นแบบเครื่องส่งโทรเลขขึ้น เมื่อมอร์สเดินทางมาถึงกรุงนิวยอร์คเขาเหลือเงินไม่มากนักจึงต้องรับจ้างเป็นครูสอนศิลปะตามบ้านและเวลาว่างส่วนที่เหลือเขาได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องโทรเลข ต่อมาในปี ค.ศ. 1835 มอร์สได้เข้าทำงานมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค (New YorkUniversity) ในตำแหน่งศาสตราจารย์ทางศิลปะ การทำงานในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มอร์สไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน แต่ได้รับสิทธิพิเศษในการเรียนวิชาใดก็ได้ในมหาวิทยาลัยแทน มอร์สเลือกเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ซึ่งเข้ามีความรู้พื้นฐานมาบ้างแล้ว แม้ว่ามอร์สจะมีเวลาน้อยลง แต่ะเขาก็คงพยายามประดิษฐ์เครื่องส่งโทรเลขต่อไปมอร์สต้องประสบปัญหาหลายประการทั้งเงินทองและเวลา มอร์สใช้เวลาเฉพาะช่วงกลางคืนเท่านั้นในการทำงาน เนื่องจากกลางวันเขาต้องทำงานในมหาวิทยาลัยอีกทั้งมอร์สไม่มีเงินเพียงพอที่จะใช้ซื้ออุปกรณ์ทีละมาก ๆ ทำให้ต้องซื้อลวดทองแดงได้ทีละน้อย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในการสร้างโทรเลข แต่ในที่สุดมาร์สก็สามารถสร้างเครื่องส่งโทรเลขได้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1837 ซึ่งเขาใช้ระยะเวลาถึง 5 ปีแต่การส่งโทรเลขนั้นไม่สามารถส่งเป็นตัวหนังสือได้ดังนั้นมอร์สจึงคิดเป็นรหัสเพื่อให้แทนตัวหนังสือ โดยสร้างสวิตช์ไฟอย่างง่ายขึ้น ทำจากสปริงทองเหลือง ส่วนปลายมีปุ่มสำหรับกดซึ่งติดอยู่กับสปริงและแม่เหล็กไฟฟ้าอันเล็ก ๆ เรียกว่า "อาร์เมเจอร์"และเมื่อกดปุ่มก็ทำให้กระแสไฟฟ้าเดิน ถ้ายกมือออกจากปุ่มกระแสไฟฟ้าก็จะตัดสวิตช์ชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า "สะพานไฟของมอร์ส"ซึ่งมีประโยชน์ในสำหรับส่งกระแสไฟฟ้าออกมาในช่วงสั้น ช่วงยาว ซึ่งทำให้เกิดรหัสในการส่งสัญญาณโทรเลข เรียกว่า "รหัสมอร์ส" คือ กดสั้น เป็นจุด ( . ) และกดยาวเป็นขีด ( _ ) ได้แก่
มอร์สได้แสดงการส่งโทรเลขครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1873 ภายในห้องประชุมของทางมหาวิทยาลัยนิวยอร์คโดยมีระยะทางในการส่งครั้งแรกเพียง 1,700 ฟุต แต่ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะมีผู้คนเข้าชมอย่างมาก อีกทั้งการแสดงครั้งนี้ทำให้มอร์สได้รับการสนุบสนุนเงินทุนในการพัฒนางานโทรเลขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากอัลเฟรด เวลล์ บุตรชายเจ้าของกิจการจำหน่ายเหล็กและทองเหลืองที่รัฐนิวเจอร์ซี มอร์สได้ปรับปรุงเครื่องโทรเลขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาได้นำผลงานชิ้นนี้เดินทางไปยังกรุงนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. 1838 เพื่อเสนอผลงานของเขาต่อสภาคองเกรส ซึ่งครั้งนี้มอร์สสามารถส่งโทรเลขได้เป็นระยะทางถึง 10 ไมล์แต่ถึงอย่างนั้น สภาคองเกรสก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องเงินทุนแก่เขา มอร์สได้พยายามขออนุมัติเงินทุกจากสภาคองเกรสอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1843 ซึ่งครั้งนี้ทางสภาคองเกรสได้อนุมัติเงินให้เขาจำนวน 30,000 ดอลลาร์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการวางสายโทรเลขจากกรุงวอชิงตันไปยังบัลติมอร์ รวมระยะทาง 38 ไมล์ซึ่งการวางสายโทรเลขได้สำเร็จลงในปี ค.ศ. 1884 เมื่อวางสายโทรเลขเสร็จเรียบร้อย จึงมีการทดลองส่งโทรเลขเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1844 ใจความว่า "พระเจ้าทำงานอะไร" ส่วนปลายทางที่บัลติมอร์ตอบกลับมาว่า "เขียนที่สุดปลายทาง" ถือว่าการส่งโทรเลขครั้งแรกประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี หลังจากนั้นกิจการโทรเลขก็ได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งต่อมาก็ได้เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วย จากผลงานประดิษฐ์เครื่องโทรเลขทำให้มอร์สเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเขาได้เปิดบริษัทร่วมกับเวลล์ผู้ซึ่งเคยให้การสนับสนุนเขามาก่อน มอร์สยังได้รับรางวัลจากกลุ่มประเทศยุโรปเป็นเงินถึง 40,000 ฟรังก์ นอกจากนี้เขายังได้รับเชิญจากสมาคมวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ใช้เข้าร่วมเป็นสมาชิกอีกด้วย


มอร์สเสียชีวิตวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1872 ที่กรุงนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วย โรคปอดบวม ก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต 1 ปี สมาคมโทรเลขแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สร้างอนุเสาวรีย์เป็นเกียรติแก่เขาที่สวนสาธารณะในเมืองนิวยอร์ค




ปิแอร์ คูรี่ : Pierre Curie




เกิด วันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ.1859 ที่กรุงปารีส (paris) ประเทศฝรั่งเศส (France)


เสียชีวิต วันที่ 19 เมษายน ค.ศ.1906 ที่กรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส (France)


ผลงาน - ค้นพบคลื่นเสียง - ค้นพบธาตุเรเดียม


เมื่อพูดถึงปิแอร์ คูรี่ แล้วอาจโด่งดังไม่เท่ากับมารี คูรี่ ภรรยาของเขา แต่ปิแอร์ก็เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการค้นพบธาตุเรเดียมด้วยเพียงแต่เขาเสียชีวิตไปก่อน การค้นพบของเขาทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลร่วมกับมารี อีกทั้งเขายังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญมากในการค้นพบประโยชน์ของธาตุเรเดียม ปิแอร์เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ.1859 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส บิดาของเขาเป็นนายแพทย์ หลังจากจบการศึกษาขั้นต้นแล้ว เขาได้เข้าศึกษาต่อวิชาเคมี ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ (Sorbonn University) หลังจากที่เขาจบการศึกษาแล้วได้เข้าฝึกงานกับคณะผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็สามารถสร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจ และในปี ค.ศ.1878ปิแอร์ก็ได้รับรางวัลไซแอนซิเอท (Scienciate Award) ทางฟิสิกส์ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการห้องทดลองประจำมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ และในระหว่างนี้เขาได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษาในโรงเรียน โรงงานอุตสาหกรรม และงานทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ต่อมาในปี ค.ศ.1880 ปิแอร์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับความต่างศักย์ของไฟฟ้าระหว่างผลึกหินควอทซ์ กับเกลือโรเชลลี ภายใต้ความกดดันสูง จากผลการทดลองเขาพอว่า ความกดดันมีผลกระทบต่อความต่างศักย์ ซึ่งปิแอร์เรียกสั้น ๆ ว่า "ปิแอร์โซอิเล็กทริคซิตี้ (Pierre so Electricity)" และเขาได้พบเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าเพิ่มค่าความต่างศักย์ของไฟฟ้าให้มากขึ้น จะทำให้พื้นผิวของผลึกเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงเกินกว่าที่คนปกติจะได้ยิน แต่ก็มีประโยชน์ เพราะต่อมานักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได้นำหลักการเดียวกันนี้มาประดิษฐ์อุปกรณ์เกี่ยวกับเสียงหลายชนิดได้แก่ ไมโครโฟน และเครื่องบันทึกเสียงเป็นต้น ในปี ค.ศ.1895 ปิแอร์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับความร้อนที่เกิดขึ้นกับแม่เหล็ก จากผลการทดลองปิแอร์พบว่าที่อุณหภูมิระดับหนึ่ง แม่เหล็กไม่สามารถแสดงสมบัติออกมาได้ โดยปิแอร์เรียกอุณหภูมิระดับนี้ว่า "คูรีพอยท์ (Cury Point)" และจากการทดลองครั้งนี้ เขาได้สร้างเครื่องมือขึ้นมาชิ้นหนึ่งชื่อว่า อิเล็กโทรมิเตอร์ (Electrometer) สำหรับใช้ในการทดลองครั้งนี้ด้วย จากผลงานชิ้นนี้เขาได้รับมอบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการประจำห้องทดลองเคมี และฟิสิกส์ประจำมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้พบกับมารียา สโคลดอฟสกา (Marja Sklodowskaป และแต่งงานกันในปี ค.ศ.1895 ในขณะที่ปิแอร์มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จทั้งด้านการงานและครอบครัวเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในขณะที่เขากำลังเดินไปยังสำนักพิมพ์ เพื่อตรวจต้นฉบับ ได้มีรถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งเข้ามาขนเขาล้มลง และทับศีรษะ ทำให้ปิแอร์เสียชีวิตทันทีในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ.1906 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ไมเคิล ฟาราเดย์ : Micheal Faraday


เกิด วันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1791 ที่กรุงลอนดอน (London) ประเทศอังกฤษ (England)

เสียชีวิต วันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1867 ที่กรุงลอนดอน (London) ประเทศอังกฤษ (England)

ผลงาน - ค้นพบสมบัติของแม่เหล็กที่ทำให้เกิดไฟฟ้า

- ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าหรือไดนาโม (Dynamo)

- นำเหล็กมาผสมกับนิกเกิล เรียกว่า สแตนเลส ซึ่งมีสมบัติเหนียว และไม่เป็นสนิท

- พบสารประกอบเบนซีน (Benzene)

- บัญญัติศัพท์ทางวิทยาศาสตร์หลายคำ เช่น ไอออน (lon) หมายถึง ประจุ

อิเล็กโทรด (Electrode) หมายถึง ขั้วไฟฟ้า

คาโทด (Cathode) หมายถึง ขั้วลบ

แอโนด (Anode) หมายถึง ขั้วลบ

ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความสำคัญและความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อีกด้วยแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่การสร้างกระแสไฟฟ้าขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ในปัจจุบันกระแสไฟฟ้าผลิตขึ้นได้จากพลังงานหลายรูปแบบทั้งน้ำมัน น้ำ ลม และปรมาณู และฟาราเดย์ผู้นี้เองที่ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เรียกว่า "ไดนาโม (Dynamo)" ซึ่งเป็นต้นแบบของเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้าในปัจจุบัน ฟาราเดย์เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1791 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษครอบครัวของเขาค่อนข้างยากจน บิดาของเขามีอาชีพเป็นช่างตีเหล็ก และรับจ้างใส่เกือกม้าทำให้เขาได้รับการศึกษาน้อย ฟาราเดย์ได้รับการศึกษาเพียงชั้นประถมเท่านั้น ก็ต้องลาออกเพื่อหางานทำตั้งแต่อายุ 13 ปี อาชีพแรกของฟาราเดย์ คือ เด็กส่งหนังสือพิมพ์ในร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งด้วยความขยัน ต่อมาเจ้าของร้านหนังสือได้ให้ฟาราเดย์มาเย็บปกหนังสือ แทนที่จะต้องออกไปตระเวนข้างนอก ซึ่งเป็นโอกาสที่ทำให้ฟาราเดย์ได้อ่านหนังสือหลายประเภท รวมถึงหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ด้วย ครั้งหนึ่งฟาราเดย์มีโอกาสได้อ่านหนังสือของเจน มาเซต(Jane Marcet) เกี่ยวกับวิชาเคมีชื่อว่า Conversations in Chemistry และหนังสือสารานุกรมบริตันนิกา (EncyclopediaBritannica) ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้าด้วยหลังจากนั้นฟาราเดย์ได้ทำการทดลองตามหนังสือเล่มนี้และจากนั้นฟาราเดย์ก็มีความ ตั้งใจที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้ได้ในวันหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1813 ฟาราเดย์มีโอกาสได้เข้าฟังการปาฐกถาของเซอร์ฮัมฟรี เดวี่ (Sir Humphry Davy) เกี่ยวกับวิชาเคมีที่ราชบัณฑิตยสภา (Royal Institution) ฟาราเดย์ให้ความสนใจฟังปาฐกถาครั้งนี้มากถึงขนาดจดคำบรรยายไว้อย่างละอียดหลังจากนั้นเขาได้ทำการคัดลอดใหม่อย่างเรียบร้อย และใส่ปกอย่างสวยงาม ส่งไปให้เดวี่ พร้อมกับจดหมายอีก 1 ฉบับ ใจความในจดหมายเป็นเรื่องเกี่ยวกับความต้องการจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ของเขา หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ความฝันของฟาราเดย์ก็เป็นจริง เมื่อเดวี่ตอบรับจดหมาย พร้อมกับชวนฟาราเดย์ไปทำงานในหน้าที่ผู้ช่วยของเขา แม้ว่าหน้าที่ของฟาราเดย์จะแค่ล้าง หลอดแก้ว อ่างทดลอง หรือล้างเครื่องมือทดลองอื่น ๆ แต่เขาก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำงานนี้ เพราะทำให้เขามีโอกาสใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์ อย่างเดวี่ และมีโอกาสได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อีกด้วย กาสรที่ฟาราเดย์อ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มากมาย ทำให้เขาเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ดีผู้หนึ่ง อีกทั้งเขาเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน ช่างจดจำ และขยัน เป็นที่ถูกใจของเดวี่ และได้เลื่อนตำแหน่งฟาราเดย์ให้เป็นเลขาส่วนตัวของเขา มีหน้าที่ติดตาม และบันทึกคำบรรยายในการปาฐกถาของเดวี่ทุกครั้งจึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีของฟาราเดย์ที่จะได้เดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งทำให้เขาได้ศึกษางานด้านวิทยาศาสตร์ และมีโอกาสได้รู้จักกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ต่อมาในปี ค.ศ. 1816 ภายหลังจากการเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ หลายแห่ง ทำให้ฟาราเดย์เป็นผู้ที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากคนหนึ่งเลยทีเดียว ประกอบกับเขาเป็นที่รักใคร่ของเดวี่ เดวี่จึงให้โอกาสฟาราเดย์ขึ้นแสดงปราฐกถาเกี่ยวกับวิชาเคมี ซึ่งแม้จะเป็นครั้งแรกฟาราเดย์ก็สามารถทำได้ดี หลังจากแสดงปราฐกถาเพียงไม่กี่ครั้ง ประชาชนให้ความสนใจเข้าฟังการปาฐกถาของฟาราเดย์อย่างคับคั่ง ทำให้เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากขึ้น พร้อมกันนั้นเขายังได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการห้องทดลองของราชบัณฑิตยสภา (Royal Institution) อีกด้วยและต่อมาในปี ค.ศ. 1824 ฟาราเดย์ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของราชบัณฑิตยสภาด้วยและในปี ค.ศ. 1833 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสตรจารย์วิชาเคมีประจำราชบัณฑิตยสภา ฟาราเดย์มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้ามาก ครั้งหนึ่งระหว่างที่เขาเป็นเลขานุการของเดวี่ เขาได้ติดตามเดวี่ไปยังกรุงโรม(Rome) ประเทศอิตาลี (ltaly) เขาได้พบกับเคานท์อเลสซานโดรโลตา (Alessandro Volta) นักฟิสิกส์ผู้ค้นพบเซลล์ไฟฟ้า ซึ่งเขาตั้งชื่อว่าโวลตาอิค เซลล์ (Voltaic Cell) โดยการนำเซลล์มาต่อเข้าด้วยกันแบบอนุกรม และประดิษฐ์แบตเตอรี่ไฟฟ้าขึ้น อีกทั้งในระหว่างนั้นมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ทำการทดลองเกี่ยวกับไฟฟ้า เช่น ฮานน์ คริสเตียน เออร์สเตด (Hans Christian Oersted) เกี่ยวกับการนำเข็มทิศเข้าไปใกล้ ๆ กับลวดที่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ ปรากฏว่าเข็มทิศหันออกไปในทิศทางอื่นแทนทิศเหนือ นอกจากนี้ยังมีการทอลองของอังเดร มารี แอมแปร์ (Andre Marie Ampere) นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศล ซึ่งผลการทดลองสรุปได้ว่าไฟฟ้ามีอำนาจทำให้เกิดแม่เหล็ก และสามารถทำให้แท่งเหล็กธรรมดากลายเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าได้จากผลงานการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ 2 ท่านนี้ ทำให้ฟาราเดย์มีความสนใจเกี่ยวกับไฟฟ้ามากขึ้นและเริ่มทำการทดลองดูเองบ้าง ปรากฏว่าได้ผลตามนั้นจริง ๆ ทำให้ฟาราเดย์มีความคิดว่าในเมื่อไฟฟ้าสามารถทำให้แท่งเหล็กธรรมดากลายเป็นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ เพราะฉะนั้นแม่เหล็กตามธรรมชาติก็น่าจะมีกระแสไฟฟ้าอยู่ ดังนั้นฟาราเดย์จึงทำให้การทดลองโดยการนำลวดมาพันแบบโซเลนอยด์ (Solenoid) คือ ใช้ขดลวดมาพันซ้อนกันจนเป็นรูปทรงกระบอก จากนั้นต่อปลายทั้ง 2 ข้างเข้ากับเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าปรากฏว่าเข็มของเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าไม่กระดิก แสดงว่าขดลวดไม่มีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นภายในขดลวด และเมื่อดึงแท่งแม่เหล็ก ออกมาปรากฏว่าเข็มไม่กระดิก จากนั้นฟาราเดย์จึงดึงแท่งแม่เหล็กขึ้นลงหลาย ๆ ครั้งติดต่อกันทำให้เข็มกระดิกไปมาลักษณะเช่นนี้ แสดงว่ามีการเกิดกระแสไฟฟ้าช่วงนั้น ๆ ขณะที่แม่เหล็กเคลื่อนที่กับขดลวดเรียกว่า "กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำ" การทดลองของฟาราเดย์ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้ เขาทำการทดลองต่อไปเนื่องจากเกิดความสงสัยว่า ถ้าสิ่งที่เคลื่อนที่ไม่ใช่แท่งแม่เหล็กแต่เป็นโซเลนอยด์จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าหรือไม่ ผลการทดลองปรากฏว่าทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าได้เช่นกันแต่การเคลื่อนที่ตัดกันต้องเป็นไปในลักษณะตั้งฉากเท่านั้น จึงจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า ส่วนการเคลื่อนที่แบบขนานกันจะไม่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า และจากผลการทดลองครั้งนี้ฟาราเดย์ได้นำไปประดิษฐ์เครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้าชื่อว่า ไดนาโม (Dynamo) ซึ่งเป็นเครื่องที่ เปลี่ยนพลังงานกล เช่น พลังงานไอน้ำ พลังงานลม และพลังงานความร้อน เป็นต้น มาใช้ในการทำให้ขดลวดหมุนเพื่อที่จะเคลื่อนที่ตัดกับเส้นแรงแม่เหล็กในสนามแม่เหล็ก โดยใช้หลักการเหนี่ยวนำทางแม่เหล็กไฟฟ้า และการที่ไดนาโมจะผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาได้มากแค่ไหนขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ 1. ความเร็วของขดลวดตัวนำ และแท่งแม่เหล็ก ถ้าเคลื่อนที่ตัดกันเร็วก็จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าได้มากกว่าการเคลื่อนที่ช้า 2. จำนวนขดลวดในโซเลนอยด์ ถ้าจำนวนมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทำให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าได้สูงมากเท่านั้น ฟาราเดย์เผยแพร่ผลงานชิ้นนี้ออกไปในปี ค.ศ. 1822 ในหนังสือที่มีชื่อว่า Experimental Researches in Elctriityต่อมาในปี ค.ศ. 1825 ฟาราเดย์ได้ทำการทดลองต่อไปอีก โดยการนำขดลวดอีกเส้นหนึ่งไปวางไว้ใกล้ ๆ กับขดลวดที่มีไฟฟ้า ปรากฏว่าขอลวดเส้นใหม่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ ผลจากการทดลองครั้งนี้ฟาราเดย์สามารถสรุปได้ว่าแม่เหล็กไฟฟ้ามีอำนาจทำให้เกิด กระแสไฟฟ้าในขดลวดอันที่ 2 ได้ จากการทดลองครั้งนี้เป็นที่มาของหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการแปลงศักย์ไฟฟ้าให้ได้สูงต่ำตามต้องการ และในปีเดียวกันนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการราชบัณฑิตยสภา (Royal Institution) ต่อมาในปี ค.ศ. 1833 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสตราจารย์วิชาเคมีประจำ ราชบัณฑิตยสภาอีกด้วย แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จทั้งชื่อเสียง และเงินทอง เขาก็ยังไม่หยุดทำการทดลองค้นคว้าต่อไป ฟาราเดย์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับไฟฟ้า จนในที่สุดเขาสามารถใช้ไฟฟ้าในการแยกธาตุ และชุบโชหะได้เป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้แล้วเขายังนำโลหะ 2 ชนิดมาผสมกัน คือ เหล็กและนิกเกิล เพื่อให้มีสมบัติที่เหนียว และไม่เป็นสนิท โดยเรียกโลหะผสมชนิดนี้ว่า สแตนเลส (Stainless) พบสารประกอบเบนซีน และบัญญัติศัพท์ทางไฟฟ้าหลายคำ เช่น ไออน (lon) หมายถึง ประจุอิเล็กโทรด (Electrode) หมายถึง ขั้วไฟฟ้า คาโทด (Cathode) หมายถึง ขั้นลบ แอโนด (Anode) หมายถึง ขั้วบวก เป็นต้น ในปี ค.ศ. 1861 ฟาราเดย์ได้ลาออกจากงานในราชบัณฑิตสภา เนื่องจากเขาอายุมากแล้ว อีทั้งสุขภาพก็เสื่อมโทรม หลังจากนั้นอีก 6 ปีเขาก็ล้มป่วย และเสียชีวิตในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1867

โทมัส อัลวา เอดิสัน : Thomas Alva Edison


เกิด วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1847 เมืองมิลาน (Milan) มลรัฐโอไฮโอ (Ohio) ประเทศสหรัฐอเมริกา (United State of America)เสียชีวิต วันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ.1931 ประเทศสหรัฐอเมริกา (United State of America)

ผลงาน - ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า

- เครื่องเล่นจานเสียง

- กล้องถ่ายภาพยนตร์

- เครื่องขยายเสียง

- หีบเสียง

- เครื่องบันทึกเสียง

ถ้าจะพูดถึงนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แล้ว คงจะไม่มีใครเหนือกว่าเอดิสัน เอดิสันประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์จำนวนมากกว่า 1,000 ชิ้น นอกจากนี้เขายังปรับปรุงเครื่องใช้ที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น โทรศัพท์เครื่องส่งโทรเลข เป็นต้น ผลงานการประดิษฐ์ของเขาเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกสบาย และเป็นประโยชน์อย่างมากให้กับสาธารณชน เอดิสันเกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1847 ที่เมืองมิลาน มลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา บิดาของเขาชื่อว่า แซมมวลเอดิสัน (Samuel Edison) ประกอบธุรกิจในประเทศแคนาดา และได้เข้าร่วมกับขบวนการต่อต้างรัฐบาล เมื่อฝ่ายต่อต้านพ่ายแพ้เขาจึงต้องลี้ภัยการเมืองมาอยู่ที่ประเทศสหรัฐฯ และทำธุรกิจเกี่ยวกับไม้แปรรูปทุกชนิด เมื่อเอดิสันอายุได้ 7 ขวบ ครอบครัวเขาได้อพยพไปอยู่ที่เมืองพอร์ตฮิวรอน (Port Huron) รัฐมิชิแกน (Michiganป เนื่องจากกิจการของครอบครัวประสบปัญหา และเขาได้รับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนในเมืองพอร์ตฮิวรอนนั่นเอง แต่เขาไปโรงเรียนได้เพียง 3 เดือน เท่านั้นก็ไม่ยอมไปอีก ด้วยความที่เขาเป็นเด็กซุกซนอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา ทำให้ถูกครูตำหนิและลงโทษ เมื่อเขาออกจากโรงเรียนมารดาจึงรับหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือให้เขา เขาเรียนหนังสือยู่เพียง 2 ปี เท่านั้น ก็สามารถอ่านเขียนได้อย่างคล่องแคล่ว สิ่งที่เอดิสันให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ วิทยาศาสตร์ การทดลอง และการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ดังนั้นเขาจึงเริ่มหางานทำตั้งแต่อายุได้ 12 ปี เพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อหนังสือเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการสร้างห้องทดลองวิทยาศาสตร์ อีกทั้งเขาไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือในโรงเรียน เอดิสันได้งานทำในบริษัทรถไฟแกรนทรังค์ (Grand Trank Train Company)ในหน้าที่เด็กขายหนังสือพิมพ์ บนรถไฟสายพอร์ตฮิวรอน - ดีทรอยต์ (Port Huron - Detroit) เอดิสันได้ใช้ตู้รถไฟตู้หนึ่งเป็นที่พัก เก็บสารเคมี และหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งเขามักใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่ในห้องพักเพื่ออ่านหนังสือ และทำการทดลองวิทยาศาสตร์ เอดิสันได้ทำงานอยู่ระยะหนึ่งเขาก็สามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง เขานำเงินไปซื้อแท่นพิมพ์เล็ก ๆ เครื่องหนึ่ง เพื่อมาพิมพ์หนังสือพิมพ์ของเขาเอง ซึ่งเขาเป็นเจ้าของบรรณาธิการ นักเขียน และพนักงานขายหนังสือพิมพ์ด้วย หนังสือพิมพ์ของเอดิสันมีชื่อว่า Grand Trank Herald ซึ่งขายดีมาก เอดิสันได้นำเงินกำไรส่วนหนึ่งซื้ออุปกรณ์ในการทดลองวิทยาศาสตร์ สารเคมี แร่ และหนังสือวิทยาศาสตร์ แต่วันหนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อรถไฟเกิดกระชากอย่างแรงทำให้แท่งฟอสฟอรัสตกกระแทกพื้น แล้วเกิดระเบิดอย่างแรง ทำให้ไฟไหม้ตู้รถไฟของเขา แต่โชคดีที่ดับไฟทันไม่ได้ลุกลามไปตู้อื่น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ถูกไล่ออกจากงาน และทำให้หูของเขาต้องพิการ วันหนึ่งเขาได้ช่วยชีวิตลูกชายของนายสถานีที่กำลังวิ่งเล่นอยู่บนรางรถไฟ ในขณะที่รถไฟกำลังจะเข้าสถานี เอดิสันกระโดดลงไปอุ้มเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมาได้ทันเวลาก่อนที่รถไฟจะทับเด็ก นายสถานีจึงสอนการส่งโทรเลขให้กับเอดิสันเป็นการตอบแทนเมื่อเอดิสันมีความชำนาญในการส่งโทรเลขมากขึ้น ในปี ค.ศ.1862 เขาจึงเช่าที่ว่างในร้านขายยาบริเวณใกล้กับสถานีรถไฟ เปิดร้านรับจ้างส่งโทรเลขแต่กิจการไม่ค่อยดีนัก เพราะมีร้านรับจ้างส่งโทรเลขหลายร้าน ส่วนร้านของเขาเป็นร้านเล็ก ๆ ที่พึ่งเปิดกิจการ จากนั้นเอดิสันจึงหันมาทำกิจการขายเครื่องจักร โดยเช่าส่วนหนึ่งของร้านขายของเปิดแผนกจำหน่ายเครื่องจักรขึ้น ในระหว่างที่เอดิสันทำกิจการจำหน่ายเครื่องจักร เขาได้ใช้เวลาว่างประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ขึ้นหลายชิ้น เช่นเครื่องบันทึกคะแนนเสียงในรัฐสภา แต่เมื่อผลิตออกจำหน่ายกลับไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก เครื่องพิมพ์ราคาตลาดหุ้น และเครื่องโทรเลข 2 ทาง ซึ่งประสบความสำเร็จในการทดลองส่งเป็นอย่างดี เอดิสันได้นำผลงานชิ้นนี้ไปเสนอต่อบริษัทเวสเทิร์ส ยูเนียนเทเลกราฟ (Western Union Telegraph Company) แต่ได้รับการปฏิเสธ ดังนั้นเอดิสันจึงนำผลงานไปเสนอต่อบริษัทโทรเลขแอตแลนติก และแปซิฟิก (Atlantic and Pacific Telegraph Company) ทางบริษัทยอมรับผลงานของเขาแต่เอดิสันโชคร้ายเมื่อเขาทำการทดลองส่งสัญญาณจากนิวยอร์คถึงโรเชสเตอร์ ปรากฏว่าเกิดขัดข้องไม่สามารถส่งสัญญาณได้ทำให้เมื่อเขากลับมาที่เมืองบอสตันก็ต้องได้รับความลำบากเพราะไม่มีทั้งเงิน และงานก็ไม่มีทำ แต่เอดิสันก็ยังโชคดีอยู่บ้างเมื่อเขาพบกับวิศวกรไฟฟ้าผู้หนึ่ง ชื่อ แฟรงคลิน โปป (Franklin Pope) ได้ให้พักอาศัยอยู่ด้วย และฝากงานให้ทำในบริษัทแจ้งราคาทอง ลอว์โกลด์ อินดิเคเตอร์ (Lawglod Indicator) ซึ่งโปปทำงานอยู่ เอดิสันได้เข้าทำงานในตำแหน่งช่างโทรเลขประจำบริษัทด้วยความสามารถของเอดิสันเขาสามารถซ่อมเครื่องส่งโทรเลขได้เป็นอย่างดี และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของโปป และเมื่อโปปลาออก เขาก็ได้ดำรงตำแหน่งแทนโปป ต่อมาบริษัทได้รวมกิจการเข้ากับบริษัทเวสเทิร์น ยูเนียน เทเลหราฟเอดิสันจึงลาออกหลังจากนั้นเขาได้เปิดบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับโปป และหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่า เจ.เอช.แอชลีย์ เอดิสันต้องทำงานหนักอยู่เพียงลำพังต่างกับหุ้นส่วนที่คอยรับผลประโยชน์ แต่เมื่อผลกำไรออกมาทุกคนต่างก็ได้รับส่วนแบ่งเท่ากัน ทำให้เอดิสันรู้สึกไม่พอใจที่ถูกเอาเปรียบเช่นนี้ ดังนั้นในปี ค.ศ.1871 เอดิสันจึงถอนหุ้นออกจากโรงงาน และเดินทางไปยังเมืองนิววาร์ด รัฐนิวเจอร์ซี (New Jersey)เพื่อเปิดบริษัทผลิตเครื่องใช้ต่าง ๆ บริษัทของเอดิสันประสบความสำเร็จอย่างมาก จากการจำหน่ายเครื่องป้องกันความผิดพลาดของใบแจ้งราคาหุ้น ต่อมาในปี ค.ศ.1876 เอดิสันได้ย้ายโรงงานไปที่เมืองเมนโล ปาร์ค (Menlo Park) รัฐนิวยอร์ค (New York) และในปีเดียวกันนี้อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell) สามารถประดิษฐ์โทรศัพท์ขึ้นเป็นผลสำเร็จ ส่งผลให้บริษัทโทรเลขประสบปัญหาขาดทุนอย่างรุนแรงดังนั้นบริษัทเวสเทิร์น ยูเนียน เทเลกราฟ จึงได้ว่าจ้างเอดิสันปรับปรุงโทรศัพท์ของเบลล์ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เอดิสันได้พยายามหาวัสดุชนิดอื่น เพื่อใช้แทนแผ่นเหล็กที่เบลล์ใช้ในโทรศัพท์ จนกระทั่งเอดิสันทดลองนำคาร์บอนมาทาบริเวณแผ่นเหล็ก ปรากฏว่าได้ยินเสียชัดเจนขึ้น ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในเวลาไม่นานนัก ถึงแม้ว่าโทรศัพท์จะจำหน่ายได้ดีเพียงใด เอดิสันก็ได้รับค่าตอบแทนเพียง 100,000 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ประโยชน์ที่เอดิสันได้รับนอกจากเงินก็คือ ระหว่างที่เขาปรับปรุงโทรศัพท์อยู่นั้น เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องหลายอย่าง และจากการปรับปรุงโทรศัพท์ครั้งนี้ทำให้เขาได้พบวิธีประดิษฐ์หีบเสียง ในปี ค.ศ.1877 ซึ่งใช้หลักการเดียวกับโทรศัพท์ คือ เมื่อมีเสียงส่งผ่านเข้าไปจะทำให้โลหะที่อยู่ภายในสั่น ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเสียง เมื่อผลงานชิ้นนี้ของเขาได้เผยแพร่ออกไป ปรากฏว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เอดิสันได้ปรับปรุงหีบเสียงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งประดิษฐ์ของเขาอีกชิ้นหนึ่ง ก็คือ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องบันทึกเสียงของเขาประกอบไปด้วยกระบอกสูบเป็นร่องที่เป็นลานเกลียวยาวอันหนึ่ง ซึ่งหมุนไปด้วยข้อเหวี่ยง ทั้งสองด้านของกระบอกสูบนี้เป็นท่อเล็ก ๆ พร้อมกับมีแผ่นกะบัง และเข็มเขาได้ส่งแบบเครื่องบันทึกเสียงพร้อมกับคำแนะนำให้กับ จอห์น ครุยส์ (John Kruesi) หัวหน้าผู้ช่วยของโรงงาน เมื่อครุยส์นำเครื่องกลที่สร้างเสร็จแล้วมาให้เอดิสัน แต่ครุยส์ก็ยังไม่เข้าใจว่าเครื่องกลนี้มีประโยชน์อย่างไร จนกระทั่งเอดิสันพูดใส่ลงไปในกระบอกสูบว่า"Mary have a small sheep"และหมุนเครื่องอีกครั้ง ก็มีเสียงดังออกมาว่า "Mary have a small sheep" สร้างความประหลาดใจให้กับคนงานในโรงงานเป็นอย่างมาก เครื่องบันทึกเสียงถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นที่เขาชื่นชอบมากที่สุด ต่อมาเขาได้ปรับปรุงเครื่องบันทึกเสียงมาเป็นเครื่องบันทึกโทรเลข (Automatic Telegraph Repeater) เอดิสันได้นำผลงานทั้งสองชิ้นไปแสดงให้อัลเฟรด อีลีบัช (Alfred Dlybeah) บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไซแอนติฟิคอเมริกัน (Scientific American Newspaper) เมื่ออีลีบัชได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ของเอดิสัน เขารู้สึกตื่นเต้นมาก และได้นำผลงานทั้ง 2 ชิ้น ของเอดิสันลงในหนังสือพิมพ์ เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกไปทำให้เอดิสันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก และได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก เอดิสันได้รับเชิญจากบุคคลสำคัญหลายท่าน ให้นำผลงานของเขาไปแสดงให้ดู เช่น ลูเธอร์ฟอร์ด บีชาร์ด เฮส์ (RutherfordBirchard Hayes) ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา พระราชินีแห่งอังกฤษกษัตริย์แห่งรัสเซีย รวมถึงประธานาธิบดีแห่งเยอรมนีด้วย เอดิสันยังคงค้นคว้าและประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ต่อไป ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุดก็คือ หลอดไฟฟ้า ก่อนหน้านั้นเซอร์ฮัมฟรี เดวี่ (Sir Humphry Davy) ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับไฟฟ้าโดยการนำลวดมาต่อเข้ากับขั้วบวกและลบ ของแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ เมื่อเอาปลายของลวดทั้งสองเข้ามาใกล้ ๆ กัน ปรากฏว่าเกิดประกายไฟกระโดดข้ามไปมา โดยประกายไฟกระโดด มีลักษณะโค้งเล็กน้อยอีกทั้งมีแสงสว่างออกมาด้วย ต่อมาเขาได้ทำการทดลองเช่นนี้ในสูญญากาศและผลจากการทดลองครั้งนี้เดวี่ได้นำไปประดิษฐ์หลอดไฟ โดยตั้งชื่อหลอดไฟฟ้าชนิดนี้ว่า Arc Light แต่เส้นลวดไม่สามารถทนความร้อนได้สูง ทำให้การใช้งานของหลอดชนิดนี้มีอายุสั้น จากการทดลองของเดวี่ เอดิสันจึงได้พยายามค้นหาตัวนำที่สามารถทนความร้อนได้สูงเอดิสันทดลองใช้วัสดุมากกว่า 10,000 ชนิด มาทำการทดลองใช้เป็นไส้ของหลอดไฟ และในปี ค.ศ.1879 เอดิสันก็พบว่าเมื่อนำเส้นใยที่ทำด้วยฝ้ายมาทำด้าย จากนั้นนำมาเผาไฟจะได้ถ่านคาร์บอนที่ทนความร้อนได้สูง จากนั้นจึงนำมาบรรจุไว้ในหลอดสูญญากาศ หลอดไฟของเอดิสันสามารถจุดให้แสงสว่างได้นานถึง 45 ชั่วโมง หลอดไฟฟ้าชนิดนี้มีชื่อว่า Incandesent Electric Lamp แต่ถึงอย่างนั้นเอดิสันก็ยังต้องการหาวัสดุที่ดีกว่า เขาได้ส่งคนงานจำนวนหนึ่งออกไปเสาะหาวัสดุที่ดีกว่าฝ้ายและในที่สุดเขาก็พบว่าเส้นใยของไม้ไผ่ในประเทศญี่ปุ่นมีคุณภาพดีกว่า แต่ถึงกระนั้นหลอดไฟฟ้าของเอดิสันก็ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก เพราะราคาค่าไฟฟ้าในขณะนั้นแพงมาก เอดิสันจึงเดินทางกลับมานิวยอร์คอีกครั้งหนึ่ง และก่อตั้งบริษัทชื่อว่า Edison Electric Limit Company เพื่อสร้างเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้า โดยการนำไดนาโมของไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faradayป มาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเขาได้ตั้งชื่อเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าเครื่องนี้ว่า "Beauty Mary Ann" ตามชื่อของภรรยาของเขา จากนั้นเอดิสันได้วางสายไฟฟ้าไปทั่วเมืองนิวยอร์ค ทำให้ทุกคนได้มีโอกาสได้ใช้ไฟฟ้ากันอย่างทั่วถึง นับว่าเอดิสันเป็นผู้ที่บุกเบิกกิจการไฟฟ้าในประเทศสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้เขายังสร้างเครื่องวัดกระแสไฟฟ้า และสายดินเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าอีกด้วย กิจการของเอดิสันดำเนินไปได้ด้วยดีทั้งการจำหน่ายหลอดไฟฟ้า และจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ต่อมาในปี ค.ศ.1889 เขาได้ประดิษฐ์เครื่องมือเกี่ยวกับการถ่ายภาพขึ้น โดยใช้หลักการเดียวกับเครื่องบันทึกเสียง ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นการถ่ายภาพเคลื่อนไหว หรือกล้องถ่ายภาพยนตร์ แต่ในขั้นแรกภาพที่ถ่ายยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ต่อมาในปีค.ศ.1912 เขาได้ปรับปรุงและทำให้ภาพเคลื่อนไหวได้ นอกจากกล้องถ่ายภาพยนตร์แล้วเขายังสร้างเครื่องฉายภาพยนตร์ ขึ้นด้วยต่อจากนั้นเอดิสันได้สร้างภาพยนตร์ที่พูดได้ครั้งแรกของโลกขึ้น โดยใช้เครื่องบันทึกเสียงเข้ามาเป็นส่วนประกอบในการฉายภาพยนตร์ เขาได้ว่าจ้างนักแสดงจากบรอดเวย์ (Broadway) มาแสดงในภาพยนตร์ของเขา ภาพยนตร์เครื่องแรกของเอดิสันชื่อว่า Synchronized Movie ผลงานของเอดิสันยังมีอีกหลายชิ้น ได้แก่ เครื่องเล่นจานเสียง เครื่องขยายเสียง (Amplifier) เครื่องอัดสำเนา (DuplicatingMachine) และแบตเตอรี่ที่ทำจากนิกเกิลและเหล็ก เป็นต้น เอดิสันได้ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการประดิษฐ์คิดค้น เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ อยู่เสมอ การที่เขาทำงานอย่างหนักและพักผ่อนเพียงวันละ 3-4 ชั่วโมง เท่านั้น ทำให้เอดิสันได้ล้มป่วยลงด้วยโรคกระเพาะ เบาหวาน และปัสสาวะเป็นพิษแต่เมื่ออาการทุเลาลง แทนที่เขาจะหยุดพักผ่อนกลับไปทำงานอย่างหนักอีก ทำให้อาการป่วยกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง และเป็นสาเหตุทำให้เขาเสียชีวิตในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ.1931 จากนั้นรัฐบาลได้สร้างหลอดไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไว้บนยอดเสาสูง 13 ฟุต 8 นิ้ว เส้นผ่านศูนย์กลาง 9 ฟุต 2 นิ้ว หนัก 3 ตัน มีหลอดไฟบรรจุอยู่ภายในถึง 12 ดวงซึ่งมีกำลังไฟฟ้ารวมกันถึง 5,200 วัตต์ หลอดไฟฟ้าอันนี้สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1934 เพื่อระลึกถึงคุณประโยชน์ที่เขาได้สร้างเอาไว้

ปีทาโกรัส : Pythagoras




เกิด 582 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองซามอส (Samos) ประเทศกรีซ (Greece)


เสียชีวิต 507 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองเมตาปอนตัม (Metapontum)


ผลงาน - สร้างสูตรคูณหรือตารางปีทาโกเรียน (Pythagorean Table)


- ทฤษฎีบทเรขาคณิตที่ว่า "ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ กำลังสองของความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉากเท่ากับผลบวกของกำลังสองของความยาวของด้านประกอบมุมฉาก"


- สมบัติของแสง และการมองวัตถุ


- สมบัติของเสียง
ปีทาโกรัส เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของนักคณิตศาสตร์ผู้คิดค้นสูตรคูณ หรือตารางปีทาโกเรียน (Pythagorean Table)และทฤษฎีบทในเรขาคณิตที่ว่า "ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ กำลังสองของความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉาก เท่ากับผลบวกของกำลังสองของความยาวของด้านประกอบมุมฉาก" ซึ่งทฤษฎีทั้งสองนี้เป็นที่ยอมรับ และใช้กันมาจนปัจจุบันนี้ ปีทาโกรัสเกิดเมื่อประมาณ 582 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองซามอส (Samos) ประเทศกรีซ ปีทาโกรัสเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ ทฤษฎีของเขาได้นำมาพิสูจน์และพบว่าถูกต้องน่าเชื่อถือและใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เนื่องจากปีทาโกรัสเป็นนัก ปราชญ์ที่เกิดก่อนคริสต์ศักราชถึง 500 ปี ดังนั้นประวัติชีวิตส่วนตัวของเขาจึงไม่มีการบันทึกไว้มากนัก เท่าที่มีการบันทึกไว้พบว่าเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลม มีความสามารถ และเป็นที่นับถือของชาวเมืองมากทีเดียว เมื่อปีทาโกรัสอายุได้ 16 เขาได้เดินทางไปศึกษาวิชากับเทลีส (Thales) นักปราชญ์เอกคนแรกของโลก แม้ว่าเทลีสจะเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวางในหลายสาขาวิชา และได้ถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นให้กับปีทาโกรัสจนหมดสิ้น แต่ปีทาโกรัสก็ยังต้องการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอีก ดังนั้นในปี 529 ก่อนคริสต์ศักราช ปีทาโกรัสจึงออกเดินทางไปตามเมืองต่าง ๆ เช่น อาระเบีย เปอร์เซีย อินเดีย และอียิปต์ตามลำดับ เขาได้กลับจากการเดินทางกลับเกาะซามอส และพบว่าเกาะซามอสได้อยู่ในความปกครองของโพลีเครตีส (Polycrates) และอีกส่วนหนึ่งได้ตกเป็นของเปอร์เซีย เมื่อปีทาโกรัสเห็นเช่นนั้น จึงเดินทางออกจากเกาะซามอสไปอยู่ที่เมืองโครตอน (Croton) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี และที่เมืองโครตอนนี้เองปีทาโกรัสได้ตั้งโรงเรียนขึ้น โรงเรียนของปีทาโกรัสจะสอนเน้นหนักไปในเรื่องของปรัชญาคณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ปีทาโกรัสได้กล่าวว่า "คณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าไม่มีคณิตศาสตร์แล้ว ทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น" ข้อเท็จจริงข้อนี้ถือว่าถูกต้องที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง การคำนวณหาระยะทางหรือแม้กระทั่งการประดิษฐ์เครื่องใช้ การค้นพบเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ของเขา ได้แก่ การพบเลขคี่ โดยเลข 5 เป็นเลขคี่ตัวแรกของโลกและเลขยกกำลังสอง นอกจากนี้ปีทาโกรัสยังแบ่งคณิตศาสตร์ออกเป็น 2 สาขา คือ


1. เลขคณิต ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลข


2. เรขาคณิต เป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปทรงต่าง ๆ เช่น สี่เหลี่ยม วงกลม สามเหลี่ยม และหกเหลี่ยม เป็นต้น ซึ่งวิชานี้มีประโยชน์อย่างมากในทางสถาปัตยกรรม และทฤษฎีบทเรขาคณิตที่มีชื่อเสียงที่สุดของปีทาโกรัสก็คือ "ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ กำลังสองของความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉาก เท่ากับผลบวกของกำลังสองของความยาวของด้านประกอบ มุมฉาก" โรงเรียนของปีทาโกรัสมีผู้ให้ความสนใจส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนจำนวนมาก ทั้งพระมหากษัตริย์ ขุนนางราชสำนักและพ่อค้าคหบดีที่มั่งคั่ง ผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้ได้มีการตั้งชุมนุม โดยใช้ชื่อว่า "ชุมนุมปีทาโกเรียน (Pythagorean)" ซึ่งผู้ที่จะสมัครเข้าชุมนุมปีทาโอกเรียนจะต้องมีความรู้ด้านคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี อีกทั้งจะไม่เผยแพร่ความรู้ด้านคณิตศาสตร์ให้กับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของชุมนุมชุมนุมปีทาโกเรียนมีบทบาทอย่างมากในเรื่องของวิทยาศาสตร์ในยุคนั้น อีกทั้งเป็นชุมนุมแรกที่มีความเชื่อว่า โลกกลมและไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลอีกทั้งต้องโคจรอีกด้วย ปีทาโกรัสเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับโลกกลม และหมุนรอบตัวเองรวมถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ ก็หมุนรอบตัวเองเช่นกัน ซึ่งทฤษฎีนี้ในเวลาต่อมานักดาราศาสตร์อย่างโคเปอร์นิคัส และกาลิเลโอ ได้นำมาพิสูจน์แล้วพบว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง ไม่เพียงแต่งานด้านคณิตศาสตร์เท่านั้นที่ปิทาโกรัสให้ความสนใจ เขายังมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องแสงด้วย การค้นคว้าของปีทาโกรัสทำให้เขารู้ความจริงว่า มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างได้ เพราะแสงสว่างเป็นเพียงอนุภาคเล็ก ๆ เท่านั้น แต่แสงสว่างเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เรามองเห็นวัตถุ เนื่องจากแสงตกกระทบไปที่วัตถุ ทำให้วัตถุนั้นสะท้อนแสงมากระทบกับตาเราดังเช่นที่เราสามารถมองเห็นดวงจันทร์มีแสง ก็เพราะแสงจากดวสงอาทิตย์ที่ส่องไปยังดวงจันทร์และสะท้อนกลับมายังโลกทั้งที่ดวงจันทร์ไม่มีแสง แต่เราก็สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้ นอกจากเรื่องแสงแล้ว ปิทาโกรัสได้ค้นพบเกี่ยวกับเรื่องเสียงด้วย การค้นพบของเขาสรุปได้ว่าเสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ การพบความจริงข้อนี้เนื่องจากวันหนึ่งเขาได้เดินผ่านร้านตีเหล็กแห่งหนึ่ง ปีทาโกรัสได้ยินเสียงที่เกิดจากช่างตีเหล็กใช้ค้อนตีแผ่นเหล็กแผ่นเหล็กนั้นสั่นสะเทือน ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดเสียง ปีทาโกรัสเสียชีวิตเมื่อประมาณ 507 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองเมตาปอนตัม (Metapontum)




































ฮิปโปเครตีส : Hippocrates


เกิด 460 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เกาะโคส (Cose) ประเทศกรีซ (Greece)

เสียชีวิต 347 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เกาะโคส (Cose) ประเทศกรีซ (Greece)

ผลงาน - บุกเบิกวิชาแพทย์แผนปัจจุบัน และได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งวิชาการแพทย์ (Father of the Medicine)

การรักษาโรคด้วยวิธีการที่ทันสมัย ได้มีการพัฒนาอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 200 กว่าปี มานี้เอง แต่การเริ่มต้นของวิชาการ ด้านนี้มีมานานกว่า 2,000 ปี มาแล้ว จากความคิดริเริ่มของนายแพทย์ชาวกรีกผู้หนึ่งที่มีนามว่า ฮิปโปเครตีส ผู้ซึ่งเป็นบิดาแห่งวิชาการแพทย์แผนปัจจุบัน ฮิปโปเครตีสเป็นนายแพทย์คนแรกของโลกที่ทำการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการสมัยใหม่ คือ วินิจฉัยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคก่อนแล้วจึงทำการรักษา ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้ ก่อนหน้าที่ฮิปโปเครตีสจะบุกเบิกวิธีการรักษาเช่นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเทพเจ้าดลบันดาลให้เกิดความเจ็บป่วย เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาอาการป่วยก็คือ การบวงสรวง อ้อนวอน ขอร้องเทพเจ้าให้หายจากอาการ เจ็บป่วยเหล่านี้ ซึ่งผู้ที่ทำการรักษาผู้ป่วยในสมัยนั้นส่วนใหญ่จึงไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นนักบวชที่ทำพิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้า ฮิปโปเครตีสเกิดเมื่อประมาณ 460 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เกาะโคส ประเทศกรีซ เขาได้รับการศึกษาจากครูผู้หนึ่งเกี่ยวกับวิชาปรัชญา คณิตศาสตร์ และการแพทย์ ฮิปโปเครตีสต้องการที่จะเปลี่ยนแนวความคิดของคนในสมัยนั้นที่เชื่อว่า อาการเจ็บป่วยเกิดจากการดลบันดาลของเทพเจ้า โดยเขาอธิบายว่าอันที่จริงแล้วอาการเจ็บป่วยอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เป็นต้นว่า ความผิดปกติ หรือ ความบกพร่องของร่างกาย อาหาร อากาศ และเชื้อโรค เป็นต้น เพราะฉะนั้นวิธีการรักษาโรคก็ควรจะต้องวินิจฉัยสาเหตุของโรคว่าเกิดจากสาเหตุใด แล้วจึงหาวิธีการรักษาต่อไป ฮิปโปเครตีสใช้เวลาในการศึกษาวิธีการรักษาผู้ป่วยตลอดชีวิตของเขาจากผู้ป่วยนั่นเอง เพราะผู้ป่วยแต่ละคนก็แตกต่างกันไปทั้งอาการของโรคและวิธีการรักษา เขาจะดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และจดบันทึกเกี่ยวกับผู้ป่วยอย่างละเอียด ทั้งประวัติส่วนตัว อาการ สาเหตุของโรค รวมถึงวิธีการรักษาด้วย วิธีการรักษาผู้ป่วยของฮิปโปเครตีสจะเป็นไปอย่างละเอียดทุกขั้นตอน แม้แต่ยาที่รักาผู้ป่วยก็เป็นยาที่ไม่รุนแรงและใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะเขาเชื่อว่าธรรมชาติของคนนั้นสามารถรักษาตัวเองได้ โดยผู้ป่วยทุก ๆ คนต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทั้งเรื่องอากาศ ผู้ป่วยควรอยู่ในที่ ที่มีอากาศบริสุทธิ์ อาหารก็ควรได้รับประทานที่เหมาะสม คืออาหารอ่อนที่รับประทานง่าย เช่น ข้าวต้ม ซุป เป็นต้น เพราะร่างกายของผู้ป่วยอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ แม้แต่เรื่องความสะอาดก็เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งความสะอาดของร่างกาย และของใช้ทั้งของผู้ป่วยเอง เช่น เสื้อผ้า เครื่องนอน เป็นต้น และอุปกรณ์การแพทย์ยิ่งต้องรักษาความสะอาดมากเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคเท่านั้น ฮิปโปเครตีสยังรักษาผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุจนกระดูกหัก หรือเป็นแผลฉกรรจ์ เขาก็สามารถรักษาได้ เขาเรียนรู้วิธีการรักษาบาดแผล ให้สะอาด โดยการใช้น้ำมันดินมาทาที่แผลซึ่งสามารถป้องกันบาดแผลไม่ให้ลุกลามได้เป็นอย่างดี การรักษาโรคเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้คนพ้นจากความทุกข์ทรมาน แต่วิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคเป็นสิ่งที่ดีกว่า และฮิปโปเครตีสก็ให้ความสนใจเรื่องการรักษาสุขภาพนี้ด้วยเช่นกัน เขาคิดว่าคนที่มีสุขภาพแข็งแรงก็จะไม่ล่มป่วยได้ง่าย ๆ และวิธีการรักษาสุขภาพ ให้แข็งแรงอยู่เสมอก็คือการออกกำลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และการทำจิตใจให้ผ่องใสก็เป็น สิ่งสำคัญเช่นกัน ฮิปโปเครตีสได้ตั้งโรงเรียนสอนวิชาแพทย์ขึ้นที่เกาะโคส และเขียนตำราแพทย์ไว้มากมายที่เกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยวิธีการต่าง ๆ วิธีการใช้ยา วิธีการรักษาบาดแผล กระดูกหัก และวิธีการผ่าตัด แม้แต่วิธีการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเขาก็ได้เขียนขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เขาบันทึกจากผู้ป่วยที่เขาทำการรักษา ดังนั้นตำราแพทย์ของเขาจึงเป็นตำราที่น่าเชื่อถือ เพราะเขียนขึ้นจากความจริงทั้งสิ้น ฮิปโปเครตีสถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดวิชาการแพทย์แผนปัจจุบัน วิธีการรักษาของเขามีระเบียบแบบแผนเป็นที่น่าเชื่อถือ ซึ่งในปัจจุบันผู้ที่จบวิชาแพทย์ก็ยังต้องกล่าวคำปฏิญาณ (Hippocratic Oath) ตามที่ฮิปโปเครตีสเคยกล่าวไว้ต่อหน้าเทพเจ้าแอสเคลปิอุส (Asclepius) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการแพทย์ของกรีก และส่วนหนึ่งในคำปฏิญาณนี้ ได้ถูกนำมาเป็นข้อบังคับ หรือจรรยาบรรณของแพทย์ด้วย ดังจะยกตัวอย่างมาส่วนหนึ่ง "จรรยาและข้อกำหนดที่ข้าพเจ้ายึดถือและประกาศไว้นี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของผู้ป่วยในความดูแล ซึ่งข้าพเจ้าจะใช้พละกำลังของข้าพเจ้าช่วยเหลือผู้ป่วยจนสุดความสามารถ ข้าพเจ้าจะไม่ใช้ความรู้ของข้าพเจ้าให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น หรือรักษาผู้อื่นด้วยวิธีการที่ผิด ข้าพเจ้าจะไม่สั่งจ่ายยาที่ทำให้ต้องเสียชีวิตเป็นอันขาด ข้าพเจ้าจะไปเยี่ยมบ้านเรือน เพื่อประโยชน์สุขของผู้ป่วยเท่านั้น โดยงดเว้นจากการคดโกง และประสงค์ร้าย"